วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

เปลี่ยนนิสัยใช้เงินเปลือง (modernmom)

เปลี่ยนนิสัยใช้เงินเปลือง
วิญญาณของนักช็อปอยู่ในตัวผู้หญิงทุกคนค่ะ เห็นด้วยใช่ไหมคะ ก็ผู้หญิงเราน่ะใช้เงินเก่งอยู่แล้วนี่นา ยิ่งพอเห็นของถูกใจนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นต้องตาลุกวาว เดี๋ยวซื้อนู่นซื้อนี่ ยังไม่ทันจะสิ้นเดือนตังค์ก็หมดแล้ว แต่เมื่อก้าวสู่การเป็นแม่ ภาระย่อมจะเพิ่มมากขึ้น จะซื้อจะใช้จ่ายอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ๆ แต่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงนิสัยใช้เงินเปลืองได้อย่างไรนั้น เต่าน้อยมีวิธีค่ะ...
         
ตั้งปณิธานมุ่งมั่นว่าหลังจากเงินเดือนออก จะซื้อเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นภายในงบที่ตั้งเอาไว้ ทำเป็นสมุดบัญชีไว้ยิ่งดีค่ะ แจกแจงค่าใช้จ่ายล่วงหน้าไปเลย ว่าข้าวของที่หมดไปต้องซื้ออันไหนเพิ่มเติม ส่วนเสื้อผ้าเครื่องประทินโฉม ก็ซื้อเท่าที่จำเป็นตามงบที่ตั้งเอาไว้เช่นกันค่ะ

          ใจแข็งเข้าไว้ค่ะ อย่าใจอ่อนกับการเสียเงินเพิ่มขึ้น ยกเว้นเรื่องอาหารการกิน เจ็บไข้ไม่สบายของคนในครอบครัว ซึ่งต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง

          ตั้งเป้าว่าจะต้องมีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือน เพื่อเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อ๊ะ..ไม่ใช่ของรัฐบาลนะคะ ของลูกและแฟนต่างหาก

          หักห้ามใจจะไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย ต่อให้เป็นของที่อยากได้มากองตรงหน้าก็เหอะ อย่าหวังว่าจะได้เงินคุณอีกเลย ไม่สุรุ่ยสุร่าย ท่องไว้ให้ขึ้นใจเลยค่ะ

กระเป๋าสะพายข้างยอดฮิต (Lisa)

         Why It’s a Favorite…

          
  Security เพราะว่าปลอดภัยทุกครั้งที่ใช้ ด้วยเทคนิคการสะพายที่มีไม่จำกัดทำให้สามารถสะพายไขว้มาทั้งด้านหน้าด้านข้าง หรือด้านหลังได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนล้วงกระเป๋า

  Convenience สะดวกสบาย พกพาง่าย และแมตช์ได้กับชุดหลากสไตล์ทั้งวันทำงาน ไปเที่ยว หรือปาร์ตี้กลางคืน

  Cost-Effective กระเป๋าใบเล็ก ราคาก็ย่อมประหยัดแน่นอน

           Tips

ควรปรับสายสะพายให้เหมาะกับสรีระของคุณ เพราะสายที่สั้นหรือยาวเกินไป จะทำให้ดูรุ่มร่ามและเคลื่อนไหวไม่สะดวก

สีและขนาดกระเป๋ามีผลต่อลุคของคุณมาก ถ้าเป็นสาวร่างเล็กแต่สะพายกระเป๋าใบใหญ่เกินไป ก็อาจจะทำให้ช่วงตัวดูตันได้

ลือกแบบให้ดูมีสไตล์ กระเป๋าสะพายมีทั้งแบบโบฮีเมียน วินเทจ หรือสีสันสดใส ถ้าเลือกแบบให้เหมาะกับเสื้อผ้าและลุคของคุณก็จะช่วยเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้น
มะเร็งปากมดลูก รู้เท่าทันสู่นโยบาย (ไทยโพสต์)

          โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของโลก เพราะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของสตรีรองจากโรคมะเร็งเต้านม และถึงแม้ว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ แต่การดำเนินการป้องกันยังไม่สามารถทำให้อัตราการเกิดโรคมีแนวโน้มลดลงได้

          ดังนั้นคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหาสุขภาพของคนไทยและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง จึงได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดงานเสวนา "มะเร็งปากมดลูก : รู้เท่าทัน ผลักดันสู่นโยบาย" เพื่อร่วมกันกำหนดนโยบายที่เหมาะสม ในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐบาลต่อไป

          ศาสตราจารย์นายแพทย์จตุพล ศรีสมบูรณ์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า สถานการณ์ภาพรวมของมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในแต่ละปีนั้นมีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 10,000 คน หรือคิดเป็นผู้เสียชีวิตวันละประมาณ 27 คน และหากคิดรวมจำนวนผู้เสียชีวิตต่อปีจะมีประมาณปีละ 5,000 คน หรือคิดเป็นผู้เสียชีวิตวันละ 15 คน และในปี 2555 คาดว่าจะมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกวันละ 32 คน และเสียชีวิตวันละ 17 คน ซึ่งในปัจจุบันจังหวัดที่พบผู้ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกอันดับหนึ่งได้แก่ จังหวัดระยอง อันดับสองคือจังหวัดชลบุรี อับดับสามคือจังหวัดเชียงใหม่ สำหรับอายุของผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก ร้อยละ 80% มีอายุต่ำกว่า 60 ปี

สำหรับผลกระทบที่เกิดจากโรคมะเร็งปากมดลูกนั้น

          1.เมื่อผู้หญิงป่วยเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก จะทำให้ครอบครัวขาดรายได้ รวมถึงขาดผู้นำในครอบครัวหรือองค์กร
          2.ทำให้รัฐบาลเสียงบประมาณในการรักษา
          3.แพทย์ผู้รักษาเสียเวลาในการรักษา 5 ปี
          4.โรคมะเร็งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจ
          5.ขาดความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว เพราะฝ่ายชายอาจนอกใจภรรยาได้

          ศาสตราจารย์นายแพทย์จตุพลกล่าวอีกว่า หากต้องการผลักดันโรคมะเร็งปากมดลูกไปสู่นโยบายนั้น อันดับแรกควรมีการรณรงค์ให้ผู้หญิงไทยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5 ปี ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคัดกรองในรูปแบบของ Pap smear (การเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกไปตรวจ) หรือการตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผิวปากมดลูก โดยการใช้น้ำส้มสายชู หรือวิธี VIA ตลอดจนการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งทั้งสองวิธีที่กล่าวมานี้ เชื่อว่าจะสามารถป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้ หากได้รับการสนับสนุนและร่วมมืออย่างจริงจังจากกลุ่มผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 30-60 ปี รวมถึงการรณรงค์จากภาครัฐ

          ดร.ภญ.นัยนา ประดิษฐ์สิทธิกร ตัวแทนจากโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) กล่าวว่า สำหรับต้นทุนค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกนั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ ค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก ส่วนที่ 2 นั้นเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค พูดง่าย ๆ ว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกอยู่ที่ประมาณ 3-10 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเน้นที่การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอนั้น ต้นทุนในการป้องกันรักษาจะอยู่ที่คนละประมาณ 500 บาท และสามารถไปตรวจคัดกรองได้ 7-10 ครั้ง รวมถึงยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก และลดอัตราการเสียชีวิตในผู้หญิง อีกทั้งลดค่ารักษาจำนวนสูงลงได้ และมีความคุ้มค่ามาก

   อย่างไรก็ตาม ดร.ภญ.นัยนาได้เสนอแนะว่า การตรวจคัดกรองนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนควรที่จะต้องทำ ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก HPV ขณะเดียวกัน เรื่องราคาของวัคซีนดังกล่าวก็ควรอยู่ในราคาที่ประชาชนยอมรับได้ คือ ไม่เกินเข็มละ 190 บาท พูดง่าย ๆ ว่าราคาต่อ 1 ครอส (3 เข็ม) นั้นไม่ควรเกิน 600 บาทนั่นเอง ซึ่งมาตรการดังกล่าวต้องผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ คณะอนุกรรมการชุดสิทธิประโยชน์ของ สปสช. รวมทั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติด้วย อีกทั้งต้องมีการรณรงค์ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้ได้ 80% หลังการฉีดวัคซีนก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะช่วยลดอัตราผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งลงได้มาก

          ด้าน น.ส.ณัฐยา บุญภักดี มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง กล่าวว่า ในปัจจุบันผู้หญิงที่อยู่ในเมืองอย่างกรุงเทพมหานคร รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงนั้น ให้ความสนใจและหันมาตระหนักเรื่องของมะเร็งปากมดลูกมาก แต่ไม่ค่อยไปตรวจเนื่องจากยังไม่เกิดอาการอะไรขึ้นจึงยังไม่ไปตรวจ ซึ่งการปล่อยอาการของโรคเอาไว้ จะทำให้อาการลุกลามจนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ขณะเดียวกันเรื่องของช่วงว่างในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะความต้องการในเรื่องของสถานบริการในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกนั้น ควรที่จะเพิ่มจำนวนให้มากกว่านี้ และเข้าถึงได้ง่ายกว่าในปัจจุบัน เช่น มีรถให้บริการตรวจคัดกรองถึงที่โดยไม่ต้องลางานไปตรวจ ขณะเดียวกันการลงไปให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูกในชนบทก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะผู้หญิงในชนบทยังขาดความรู้ในเรื่องนี้อยู่มาก

          น.ส.ณัฐยา ยังเสนอแนะถึงการผลักดันเรื่องโรคมะเร็งปากมดลูกไปสู่นโยบายที่เป็นรูปธรรมว่า นอกจากนโยบายด้านสาธารณสุขที่กล่าวมาแล้วนั้น ควรทำควบคู่ไปกับ

          1.การฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กที่มีอายุน้อย (10-12 ปี)
          2.ในกลุ่มของผู้ที่มีอายุมากขึ้น เช่น 30 ขึ้นไปควรตรวจด้วยวิธี Pap smear หรือวิธี VIA
          3.ต้องมีการรณรงค์ให้ไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอทุก 3 ปี หรือ 5 ปี
          4.นโยบายของการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีน HPV ควรทำควบคู่ไปกับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกด้วย จึงจะทำให้สถานการณ์ของโรคมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทยลดลงได้